สุขภาพดีดี : การรับประทานอาหาร ที่มีประโยชน์ ตอนที่ 1
แตละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
ขอบคุณ http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000079603
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
ขอบคุณ http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000079603
สุขภาพดีดี : การรับประทานอาหาร ที่มีประโยชน์ ตอนที่ 2
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!
ขอบคุณ http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000079603
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!
ขอบคุณ http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000079603
ทำอย่างไรให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สุขภาพดี และอายุยืน
ความจริงที่ว่า ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ยังเป็นคำพูดที่ไม่ล้าสมัย เพราะคงไม่มีใครปฏิเสธว่าการมีสุขภาพดี มีค่ากว่าการได้ลาภเป็นเงินเป็นทองด้วยซ้ำไป เพราะแม้ว่าจะมีเงินมากองจนท่วมตัวก็ไม่สามารถซื้อสุขภาพที่ดีคืนมาได้ สุขภาพเป็นสิ่งที่ไม่มีใคร … นอกจากตัวเราเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนด เป็นสิ่งที่เราเลือกได้ แต่เราได้เลือกแล้วหรือยัง มองย้อนกลับไปดูว่าที่ผ่านมา เราดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องหรือเปล่า เราสนใจเรื่องอาหารการกินมากน้อยแค่ไหน เรากินเพื่ออยู่ไปวัน ๆ หรือเรามีความสุขกับการกินจนมากเกินไป ถ้าเป็นเช่นนั้น คงถึงเวลาแล้วที่เราต้องรีบปรับตัว และไม่ปล่อยปละละเลยการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพราะหากเป็นปัญหาขึ้นมาแล้ว อาจสายเกินแก้ เมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพ เรื่องอาหารการกินดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนกว่าเรื่องอื่น
ดังนั้น การปรับ พฤติกรรมการกินให้ถูกต้อง ถูกหลักโภชนาการที่ดี กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ กินเป็นเวลา ที่สำคัญ คือ กินให้พอดีและ กินให้หลากหลาย ก็สามารถลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยไปได้มากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว ในการทำความเข้าใจเรื่องการกิน อาหาร เพื่อสุขภาพที่ดีและห่างไกลโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากการกินได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ลองสำรวจตัวเองว่ามีพฤติกรรมการกิน อาหาร เพื่อสุขภาพมากน้อยแค่ไหน
ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งเต้านม
ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งเต้านมไม่มีใครบอกได้ว่ามะเร็งนั้นมีสาเหตุมาจากอะไร แพทย์ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่ รู้เพียงว่าการชน การกระแทก หรือการสัมผัสเต้านม ไม่ได้เป็นสาเหตุของมะเร็งเต้านม และมะเร็งก็ไม่ใช่โรคติดต่อที่เราสามารถติดจากผู้อื่นได้ จากการวิจัยพบว่าผู้หญิงที่มีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งเต้านมได้
• อายุ : โอกาสจะมากขึ้นเมื่อผู้หญิงมีอายุมากขึ้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 50 ปี
• ประวัติส่วนตัวเกี่ยวกับมะเร็ง : หากผู้หญิงคนใดที่เป็นมะเร็งเต้านมข้างใดข้างหนึ่งแล้ว มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดกับอีกข้างหนึ่ง
• ประวัติครอบครัว : จะมีความเสี่ยงมากขึ้นหาก แม่ พี่สาวหรือน้องสาวเป็นมะเร็งเต้านม และความเสี่ยงจะมากขึ้นอีกหากเป็นก้อนอายุ 40 ปี
• มีเซลล์ที่เหมือนจะผิดปกติ : ในผู้หญิงบางคนมีเซลล์ที่ดูคล้ายเซลล์ผิดปกติอยู่ในเต้านม เช่น Atypical hyperplasia และ Lobular
carcinoma in situ เป็นต้น ก็เพิ่มความเสี่ยง
• การเปลี่ยนแปลงของ Gene : โดย gene BRCA1, BRCA2
• ประวัติการมีบุตรและการมีประจำเดือน :
• มีบุตรคนแรก ตอนอายุมากๆ
• มีประจำเดือนก่อนอายุ 12 ปี
• มีประจำเดือนหลังจากอายุ 55 ปี
• ผู้ที่ไม่เคยมีบุตร
• ผู้ที่ใช้ hormone หลังจากหมดประจำเดือนแล้ว
• ผู้ที่แท้งบุตรไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง
• เชื้อชาติ : มักเกิดในคนผิวขาวมากกว่าคนเอเชียและอัฟริกา
• การฉายรังสีบริเวณทรวงอก : ในผู้หญิงที่ฉายรังสีบริเวณนี้ก่อนอายุ 30 ปีจะมีความเสี่ยงเกิดมะเร็งเต้านมเพิ่มมากขึ้น
• ความหนาแน่นของเนื้อเต้านม : ในผู้หญิงอายุมากหากทำ Mammogram แล้วพบว่าเนื้อนมมีความทึบมากก็มีความเสี่ยงมากขึ้น
• อ้วนขึ้นหลังจากหมดประจำเดือน : โอกาสเป็นมะเร็งเพิ่มมากขึ้นเมื่อน้ำหนักเพิ่มหลังจากหมดประจำเดือน
• ขาดการออกกำลังกาย : การออกกำลังกายช่วยลดความเสี่ยงเนื่องจากป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น
• ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นในผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์
ปัจจัยเสี่ยงบางอย่างเราสามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่บางอย่างเราหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นเราควรป้องกันอยู่เสมอโดยหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะเกิดปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญก็คือผู้หญิงส่วนใหญ่ที่มีปัจจัยเสี่ยงกลับไม่เป็นมะเร็งเต้านม แต่ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมกลับไม่มีแม้กระทั่งประวัติมะเร็งเต้านมของครอบครัว ดังนั้น หากคุณคิดว่าคุณมีปัจจัยเสี่ยงควรทำการปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจร่างกายเป็นประจำ
ที่มา : น.ส.พ.ไทยรัฐ ฉบับวันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554
• อายุ : โอกาสจะมากขึ้นเมื่อผู้หญิงมีอายุมากขึ้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 50 ปี
• ประวัติส่วนตัวเกี่ยวกับมะเร็ง : หากผู้หญิงคนใดที่เป็นมะเร็งเต้านมข้างใดข้างหนึ่งแล้ว มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดกับอีกข้างหนึ่ง
• ประวัติครอบครัว : จะมีความเสี่ยงมากขึ้นหาก แม่ พี่สาวหรือน้องสาวเป็นมะเร็งเต้านม และความเสี่ยงจะมากขึ้นอีกหากเป็นก้อนอายุ 40 ปี
• มีเซลล์ที่เหมือนจะผิดปกติ : ในผู้หญิงบางคนมีเซลล์ที่ดูคล้ายเซลล์ผิดปกติอยู่ในเต้านม เช่น Atypical hyperplasia และ Lobular
carcinoma in situ เป็นต้น ก็เพิ่มความเสี่ยง
• การเปลี่ยนแปลงของ Gene : โดย gene BRCA1, BRCA2
• ประวัติการมีบุตรและการมีประจำเดือน :
• มีบุตรคนแรก ตอนอายุมากๆ
• มีประจำเดือนก่อนอายุ 12 ปี
• มีประจำเดือนหลังจากอายุ 55 ปี
• ผู้ที่ไม่เคยมีบุตร
• ผู้ที่ใช้ hormone หลังจากหมดประจำเดือนแล้ว
• ผู้ที่แท้งบุตรไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง
• เชื้อชาติ : มักเกิดในคนผิวขาวมากกว่าคนเอเชียและอัฟริกา
• การฉายรังสีบริเวณทรวงอก : ในผู้หญิงที่ฉายรังสีบริเวณนี้ก่อนอายุ 30 ปีจะมีความเสี่ยงเกิดมะเร็งเต้านมเพิ่มมากขึ้น
• ความหนาแน่นของเนื้อเต้านม : ในผู้หญิงอายุมากหากทำ Mammogram แล้วพบว่าเนื้อนมมีความทึบมากก็มีความเสี่ยงมากขึ้น
• อ้วนขึ้นหลังจากหมดประจำเดือน : โอกาสเป็นมะเร็งเพิ่มมากขึ้นเมื่อน้ำหนักเพิ่มหลังจากหมดประจำเดือน
• ขาดการออกกำลังกาย : การออกกำลังกายช่วยลดความเสี่ยงเนื่องจากป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น
• ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ : ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นในผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์
ปัจจัยเสี่ยงบางอย่างเราสามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่บางอย่างเราหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นเราควรป้องกันอยู่เสมอโดยหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะเกิดปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น แต่สิ่งสำคัญก็คือผู้หญิงส่วนใหญ่ที่มีปัจจัยเสี่ยงกลับไม่เป็นมะเร็งเต้านม แต่ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมกลับไม่มีแม้กระทั่งประวัติมะเร็งเต้านมของครอบครัว ดังนั้น หากคุณคิดว่าคุณมีปัจจัยเสี่ยงควรทำการปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจร่างกายเป็นประจำ
ที่มา : น.ส.พ.ไทยรัฐ ฉบับวันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554